กลุ่มยาที่ใช้ในการดูแลผู้ป่วยภาวะ OAB...
บทความโดย นายแพทย์สนธิเดช ศิวิไลกุล
ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ
โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ
ปัจจุบันการรักษาภาวะนี้เราสามารถแบ่งการรักษาได้เป็น 4 ระดับ แปรผันตามความรุนแรงของอาการ และการตอบสนองต่อการรักษาที่แตกต่างกันของคนไข้ในแต่ละราย โดยสามารถแบ่งระดับการรักษาอย่างคร่าว ๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายๆ โดย
- การรักษาโดยพฤติกรรมบำบัด
- การรักษาโดยการใช้ยา
- การรักษาโดยการทำหัตถการบางอย่างในคนไข้ เช่น
- การส่องกล้องกระเพาะปัสสาวะและฉีดสารโบท็อกเข้าในชั้นเนื้อเยื่อ
- การกระตุ้นเส้นประสาทส่วนปลายที่บริเวณขาของคนไข้
- การกระตุ้นเส้นประสาทส่วนกลางที่บริเวณไขสันหลัง
- การรักษาโดยการผ่าตัดขยายกระเพาะปัสสาวะ
วันนี้ผู้เขียนจะขออธิบายถึงการรักษาโดยการใช้ยา ดังนี้
เมื่ออาการ OAB ไม่ดีขึ้นหลังการรักษาด้วยพฤติกรรมบำบัดแล้ว หรือในบางรายมีอาการมากจนรบกวนชีวิตประจำวันมาก ไม่ว่าจะมีผลกระทบต่อการเข้าสังคม การพักผ่อน แพทย์จะพิจารณาให้การรักษาควบคู่กันทั้งพฤติกรรมบำบัดและการรับประทานยา โดยมีวัตถุประสงค์หลัก คือ ควบคุมอาการปัสสาวะที่รบกวนชีวิตประจำวันให้กลับสู่สภาวะปกติให้เร็วที่สุด
ยาที่ใช้ในปัจจจุบันและเป็นมาตรฐานสากลสำหรับควบคุมภาวะ OAB ในขณะนี้ จะมี 2 กลุ่มหลักๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมียากลุ่มอื่นๆด้วย ที่สามารถใช้ควบคุมรักษาภาวะดังกล่าวได้ โดยผู้เขียนจะพยายามสรุปให้เข้าใจง่ายๆดังนี้
กลุ่มหลัก 2 กลุ่มดังกล่าวมีประโยชน์เพื่อลดอาการปัสสาวะบ่อย ลดการตื่นนอนเพื่อปัสสาวะในเวลากลางคืน ลดอาการปวดปัสสาวะรุนแรงที่เกิดขึ้นแบบทันทีทันใด จนเป็นสาเหตุให้เกิดการปัสสาวะเล็ดราดในที่สุด
กลุ่มที่ 1 ซึ่งมีการใช้กันมายาวนานแล้ว โดยกลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ยับยังการบีบตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะด้วยการจับกับตัวรับสัญญาณกระแสประสาทในชั้นผิวกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ จึงส่งผลให้ภาวะ OAB ดีขึ้นได้ แต่ตัวรับสัญญาณกระแสประสาทดังกล่าวไม่ได้มีอยู่เฉพาะในกระเพาะปัสสาวะเท่านั้น เรายังสามารถพบได้ใน สมอง ต่อมน้ำลาย ตา หัวใจ และทางเดินอาหารด้วย ดังนั้นการรักษาโดยเลือกใช้ยากลุ่มนี้อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานที่ปกติของร่างกายในด้านอื่นๆด้วย เช่น ปากแห้ง คอแห้ง น้ำลายเหนียว ท้องผูก ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยในการเลือกใช้ยากลุ่มนี้
กลุ่มที่ 2 เป็นยาใหม่ มีการศึกษาค้นพบหลังจากกลุ่มแรกเป็นเวลานานหลายปี โดยกลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ในการช่วยให้กระเพาะปัสสาวะเกิดการขยายตัวได้ดีขึ้น ดังนั้นจึงส่งผลให้เกิดการกักเก็บปัสาสวะได้ดีขึ้นตามมา ก็จะเป็นการลดอาการปัสสาวะบ่อยและอาการปวดปัสสาวะทันทีได้ เช่นเดียวกันกับยาในกลุ่มแรก คือ มีหลักการว่าไปจับกับตัวรับสัญญาณกระแสประสาทในกระเพาะปัสสาวะ เพียงแต่ตัวรับสัญญาณดังกล่าวนี้ เป็นคนละชนิดกัน โดยตัวรับสัญญาณสำหรับกลุ่มที่ 2 นี้ เราก็สามารถพบได้ด้วยที่หลอดเลือด ปอด และหัวใจ ดังนั้นผลข้างเคียงสำหรับกลุ่มนี้ ต้องระวังในคนไข้ที่มีความดันโลหิตสูงและไม่ได้รับการควบคุมที่ดี
ส่วนกลุ่มอื่น ๆ ที่สามารถใช้ในการรักษาภาวะ OAB นี้ได้ด้วย เช่น ยากลุ่มที่มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง ยาที่มีผลต่อการลดปริมาณน้ำปัสสาวะ ยาฮอร์โมนเอสโตรเจนในกรณีคนไข้ผู้หญิงหลังหมดประจำเดือน ซึ่งนิยมชนิดทาเฉพาะที่มากกว่า ซึ่งไม่ว่าจะเลือกใช้ยาตัวใดก็อาจมีผลข้างเคียงของยาในแต่ละตัวได้เช่นกัน
กล่าวโดยสรุป ในการรักษาภาวะ OAB ด้วยการใช้ยา เราหวังผลเพื่อการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะของคนไข้ให้เป็นปกติ สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้เหมือนคนอื่นๆทั่วไป โดยต้องมีผลข้างเคียงจากการใช้ยาให้น้อยที่สุด ดังนั้นการเลือกใช้ยา จำเป็นที่แพทย์ต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมในคนไข้แต่ละราย ซึ่งจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน รวมถึงการติดตามการรักษาเพื่อประเมินผลการรักษา และประเมินผลข้างเคียงของยาด้วย
Reference:
- Henderson E., Drake M.:Overactive bladder. Maturitas 2010;66:257-262
- Freeman R.M., Adekanmi O.A.,:Overactive bladder. Jbpobgyn 2005;19(6):829-841
- Gomelski A., Dmochowski R.R.,:Update on management of overactive bladder: patient considerations and adherence. Open access Journal of Urology 2011;3:7-17
- E. Ann Gormley et al. Diagnosis and Treatment of overactive bladder [non-Neurogenic]. J Urology 2012,vol 188,2455-2463.
- Deborah J. Lightner et al. Diagnosis and treatment of overactive bladder in Adults. J Urology 2019, vol. 202, 558-563.